ufabet

6 วิธีเดินเผาผลาญพลังงาน

การเดิน เป็นการออกกำลังกายที่ประหยัด ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง ช่วยเผาผลาญพลังงานในร่างกาย ช่วยป้องกันโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคมะเร็งเต้านม

ซึ่งเหมาะกับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะคนที่น้ำหนักมากๆ และผู้สูงอายุ เพราะเมื่อเปรียบกับการวิ่งแล้ว การวิ่งจะทำให้เกิดแรงกระแทกต่อข้อต่อมากกว่าการเดินมาก นอกเหนือจากนั้นผู้ออกกำลังกายรายใหม่ที่เลือกวิ่ง จะทำให้เกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อได้ง่ายกว่าและเมื่อพยายามจะวิ่งต่อ ก็ยิ่งทำให้เกิดการบาดเจ็บซ้ำซ้อน เกิดผลเสียมากกว่าผลดี น้ำหนักก็ไม่ลดด้วย

ufabet

6 วิธีเดินเผาผลาญพลังงาน

  1.   เดินให้ไกลขึ้นยิ่งคุณเดินไกลมากเท่าไร ก็หมายถึงได้เผาผลาญพลังงานมากขึ้น ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายและดีที่สุดในการเผาผลาญพลังงานให้ได้มากขึ้น โดยคุณสามารถเริ่มจากฝึกเดินให้ได้ระยะทางไกลขึ้นก่อน จากนั้นให้เริ่มเร่งความเร็ว แล้วค่อยๆ เพิ่มเวลาที่คุณเดินออกกำลังกายในแต่ละวันให้นานขึ้นกว่าเดิม เช่น ระยะเวลาเดินจาก 30 นาที ค่อยๆ เพิ่มไปจนถึง 60 นาทีต่อครั้ง และความถี่ในการออกกำลังกายจาก 3 วันต่อสัปดาห์ เพิ่มเป็น 5 – 6 วันต่อสัปดาห์ เป็นต้น แล้วให้คุณสังเกตการเปลี่ยนแปลงของอัตราการเผาผลาญพลังงานต่อระยะทางที่เดินประกอบด้วย
  2.   เดินเร็ว หรือ Racewalkการเดินด้วยความเร็วมากกว่า 13 นาทีต่อไมล์ (1 ไมล์ = 1.61 กิโลเมตร) จะช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานต่อระยะทางที่เดิน เพราะคุณได้ใช้กล้ามเนื้อมากขึ้น และในขณะเดียวกันคุณก็ได้สร้างกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นด้วย คุณรู้หรือไม่ว่า การมีมวลกล้ามเนื้อที่มากจะช่วยให้คุณเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น แต่สิ่งที่ได้ผลที่เห็นชัดที่สุด คือ คุณจะเดินได้ไกลขึ้นแต่ใช้เวลาเท่าเดิม
  3.   ใช้ walking poles ช่วยให้เดินเร็วขึ้นWalking Poles หรือการเดินแบบใช้ไม้ค้ำยัน เป็นอีกตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่ไม่สามารถเดินเร็วได้ แต่อยากจะเผาผลาญพลังงานต่อระยะทางที่เดินได้มากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันมีวิธีออกกำลังกายแบบการใช้ walking pole เผยแพร่อยู่มาก แต่เพื่อประสิทธิภาพในการออกกำลังกายแบบนี้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อใช้งานได้อย่างถูกต้อง ตัวอย่างการออกกำลังกายโดยใช้ไม้ค้ำยัน เช่น Nordic Walking หรือ เทคนิค Exerstridingนอกจากจะเดินทางราบแล้ว คุณยังสามารถใช้ Walking Poles เดินขึ้นเนินเขาหรือบันไดด้วยก็ได้  เพราะการเดินขึ้นเนินเขาสามารถเผาผลาญเพิ่มขึ้นได้มากถึง 50% และ 4 แคลอรี่ต่อนาทีสำหรับการขึ้นบันได หรือหากคุณชอบการวิ่งบนสายพาน แนะนำให้ค่อยๆ ลองเพิ่มความชันของสายพานดู
  4.   เพิ่ม Speed Intervals ระหว่างการเดินปรับเปลี่ยนความเร็วระหว่างเดิน สามารถเพิ่มความรุนแรงและการเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น เช่น ระหว่างเดินคุณเร่งความเร็วในการเดินนาน 1-2 นาที จากนั้นค่อยๆ ชะลอความเร็วลงกลับมาเดินอย่างปกติ 1-2 นาที และเร่งความเร็วใหม่อีกครั้ง ทำซ้ำวนแบบนี้ จะช่วยให้คุณสามารถเดินได้ไกลขึ้นแต่ระยะเวลาเท่าเดิม นอกจากนั้นยังทำให้คุณสามารถเดินได้เร็วขึ้นด้วยหากคุณสามารถวิ่งได้ ให้ลองเพิ่ม Running intervals เข้าไปอีก 1-2 นาที เพราะการวิ่งสามารถช่วยเผาผลาญพลังงานได้ดีกว่าการเดิน และยังช่วยให้คุณสามารถได้ระยะทางเพิ่มขึ้นในระยะเวลาเท่าเดิมด้วย
  5. แบกน้ำหนักเพิ่มขึ้นความจริงแล้ววิธีนี้ไม่แนะนำ เนื่องจากการแบกน้ำหนักเพิ่มขึ้นหมายถึงการเพิ่มความเครียดให้กับข้อของคุณ แต่หากคุณอยากทำ แนะนำว่าควรใช้น้ำหนักน้อยกว่า 10 ปอนด์ (4.5 kg) และใส่ไว้ในกระเป๋าสะพายหลัง หรือชุดถ่วงน้ำหนักที่สะโพก เพื่อที่ร่างกายยังสามารถรักษาสมดุลไว้ได้ การเดินด้วยท่าทางที่ไม่เหมาะสมจากการเพิ่มน้ำหนักผิดที่ เช่น ที่แขนหรือขา มันสามารถทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ของกล้ามเนื้อได้ อาจได้ผลเสียมากกว่าผลดี
  6. เผาผลาญพลังงานขณะหลับ โดยการสร้างกล้ามเนื้อให้มากขึ้น

ปกติในขณะที่เราหลับ หรือในเวลาที่ร่างกายได้พัก โดยไม่มีกิจกรรมอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ร่างกายของเราก็ยังมีการใช้พลังงานอยู่ตลอดเวลา โดยเราสามารถคำนวณหาค่าได้ เรียกว่า Basal Metabolic Rate (BMR) คือ จำนวนพลังงานที่คุณเผาผลาญไปขณะพักในแต่ละวัน


ติดตามเนื้อหาดีๆ น่าอ่านได้ที่ rbrlodge.com อัพเดตทุกสัปดาห์

Releated